วันจันทร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2554

ประวัติวันคริสต์มาส

วันคริสต์มาส
        

          ถึงช่วงปลายปีทีไร ชาวไทยเราก็มีเรื่องฉลองอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวันปีใหม่หรือวันคริสต์มาสที่กำลังจะเข้ามาถึง แม้ว่าวันคริสต์มาสนี่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธสักเท่าไร แต่พี่ไทยซะอย่าง ฉลองได้ทุกเทศกาลอยู่แล้ว แต่ก่อนที่จะไปฉลองกัน ลองมารู้จักกับวันคริสต์มาสก่อนดีไหม

ตำนานวันคริสต์มาส

          คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" ซึ่งพบครั้งแรกในเอกสารโบราณที่เป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

          เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร
                                                     

          ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

         
เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม
องค์ประกอบในงานคริสต์มาส

 ซานตาครอส
                                        


          เป็นสิ่งแรกๆ ที่คนจะนึกถึงในฐานะสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส ซึ่งว่ากันว่าซานตาคลอสคนแรก คือ นักบุญ (เซนต์) นิโคลัส ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4 และเหตุที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นซานตาครอสคนแรก มาจากวันหนึ่งที่ท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่ง แล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี
          นักบุญนิโคลัส นั้นเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์ของเด็กๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคม เอาไว้ ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลัสก็เปลี่ยนเป็น ซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราชก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วนและใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นยานพาหนะที่มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติของเขา

          ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียงตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย อาทิ ความปิติยินดีชื่นชม ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง

 ถุงเท้า
 


          จากที่นักบุญนิโคลัสได้ปีนขึ้นไปบนปล่องไฟของบ้านเด็กหญิงยากจน เพื่อที่จะมอบเหรียญเงินให้เป็นของขวัญ แต่เหรียญนั้นกลับตกไปอยู่ในถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้หน้าเตาผิง พอรุ่งเช้าเด็กหญิงตื่นมาเจอเหรียญเงินในถุงเท้าจึงดีใจมาก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ผู้คนมากมายต่างพากันแขวนถุงเท้าคริสต์มาสไว้ เพื่อหวังจะได้รับของขวัญเช่นเดียวกันบ้าง
 ต้นคริสต์มาส
                                         


          นอกจากนี้อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ก็คือ ต้นคริสต์มาส ซึ่งต้นคริสต์มาสก็คือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยลูกแอปเปิ้ลและขนมปังเพื่อระลึกถึงศีลมหาสนิท และก็ได้มีวิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยจนมาถึงการประดับด้วยดวงไฟหลากสีสัน ขนม และของขวัญ อย่างในทุกวันนี้ การตกแต่งแบบนี้ต้องย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก
          โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ที่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก และอีกเหตุผลที่ใช้ต้นสนก็เพราะว่ามันหาง่าย

          ในสมัยโบราณนั้นต้นคริสต์มาส หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า โดยตามพระคัมภีร์นั้นได้เปรียบพระเยซูเจ้าเสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เขียวเสมอในทุกฤดูกาล สื่อถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า อีกทั้งความสว่างของพระองค์ยังเหมือนแสงเทียนที่ส่องสว่างในความมืด และรวมถึงความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูประทานให้ เพราะต้นไม้นั้นเป็นจุดศูนย์รวมของครอบครัวในเทศกาลคริสต์มาส
 ต้นฮอลลี่

          ต้นฮอลลี่ เป็นต้นไม้พุ่มเตี้ย และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส เชื่อกันว่า สีเขียวของต้นฮอลลี่มีความหมายถึง การมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ และมีความสัมพันธ์กับพระเยซู โดยผลสีแดงของต้นฮอลลี่นั้นหมายถึงหยดเลือดของพระเยซูที่ไหลลงบนไม้กางเขน ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความรักที่มีต่อพระเจ้า ใบไม้ที่มีหนามของต้นฮอลลี่เป็นสิ่งที่เตือนพวกเราถึงมงกุฏหนามที่พวกชาวทหารโรมันได้นำมาวางไว้บนศีรษะของพระเยซูคริสต์

 ดอกไม้คริสต์มาส หรือ Poinsettia



          ตำนานของดอก Poinsettia ที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของวันคริสต์มาส มาจากเรื่องราวของเด็กหญิงจนๆ คนหนึ่ง ที่ต้องการหาของขวัญไปมอบให้พระแม่มารีในวันคริสต์มาสอีฟ แต่เนื่องจากเธอไม่มีสิ่งของใดๆ ติดตัว จึงเดินทางไปตัวเปล่า และระหว่างทางเธอได้พบกับนางฟ้าที่บอกให้เธอเก็บเมล็ดพืชไว้ ต่อมาเมล็ดพืชนั้นกลับเจริญเติบโตเปลี่ยนเป็นดอกไม้สีเลือดหมูสดใส ซึ่งก็คือดอก Poinsettia ตั้งแต่นั้นดอก Poinsettia ก็ได้รับความนิยมใช้ประดับประดาบ้านในงานคริสต์มาส
 ดอกคริสต์มาส Christmas Rose
          มีต้นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ ลักษณะเป็นดอกสีขาว และมักออกดอกในช่วงฤดูหนาว ตำนานของดอกคริสต์มาสนี้มีอยู่ว่า ในช่วงที่พระเยซูประสูติ มีผู้รอบรู้ 3 คน กับคนเลี้ยงแกะเดินทางมาพบพระเยซู ระหว่างทางพวกเขาพบกับ มาเดลอน เด็กหญิงที่เลี้ยงแกะคนหนึ่ง เมื่อเธอทราบว่าทั้งหมดเดินทางมาเพื่อมอบของขวัญให้พระเยซู มาเดลอนก็เสียใจที่ไม่มีของขวัญใดไปมอบให้พระเยซูบ้าง ก่อนที่นางฟ้าที่เฝ้ามองเธออยู่จะเกิดความเห็นใจจึงร่ายมนตร์เสกดอกไม้สีขาวน่ารักและมีสีชมพูอยู่ตรงปลายกลีบให้เธอ และดอกไม้นั้นคือ ดอกคริสต์มาสนั่นเอง

 เพลงวันคริสต์มาส          เพลงคริสต์มาสเริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 แต่งโดยพระสงฆ์และฆราวาส มีเนื้อร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมาของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีการแต่งในท่วงทำนองที่ร่าเริงสนุกสนานมากขึ้น เริ่มจากประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้สนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่

          เพลงคริสตมาสแบบใหม่นี้ เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน เพราะมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดีในโอกาสคริสต์มาส เพลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาสที่นิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night

          ความเป็นมาของเพลงนี้มาจากวันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ (Joseph Mohr) เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ (Oberndorf) ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้องไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ จึงมีการแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ นำไปให้เพื่อนชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ (Franz Gruber) ใส่ทำนองในคืนวันที่ 24 นั่นเอง และเล่นเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยมีการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก

 คำอวยพรวันคริสต์มาส
          ในวันคริสต์มาสเรามักจะใช้คำอวยพรให้แก่กันและกันว่า Merry X'mas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า "สันติสุขและความสงบทางใจ" คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ และได้จัดให้มีการฉลองเพื่อระลึกถึงการบังเกิดของพระเยซู ที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศ ประเพณีนี้ได้เริ่มมาจากรุงโรมในศตวรรษที่ 4 และค่อยๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป
 สีประจำวันคริสต์มาส
สีที่เกี่ยวข้องในวันคริสต์มาสประกอบด้วย
          สีแดง : เป็นสีของผลฮอลลี่ หรือซานตาครอส เป็นสีของเดือนธันวาคม ที่แสดงถึงความตื่นเต้น และหากเป็นสัญลักษณ์ตามศาสนา สีแดงจะหมายถึง ไฟ, เลือด และความโอบอ้อมอารี

          สีเขียว : เป็นสีของต้นไม้ สัญลักษณ์ของธรรมชาตื หมายถึงความอ่อนเยาว์และความหวังที่จะมีชีวิตเป็นนิรันดร์ เปรียบได้กับว่าเทศกาลคริสต์มาสคือเทศกาลแห่งความหวัง

          สีขาว : เป็นสีของหิมะ และเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา คือแสงสว่าง ความบริสุทธิ์ ความสุข และความรุ่งเรือง สีขาวนี้จะปรากฎบนเสื้อคลุมนางฟ้า, เคราและชายเสื้อของซานตาครอส

          สีทอง : เป็นสีของเทียนและดวงดาว เป็นสัญลักษณ์ของแสงอาทิตย์และความสว่างไสว


 การทำมิสซาเที่ยงคืน          การถวายมิสซานี้เกิดขึ้นหลังจากพระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส) ในปีนั้นเองพระองค์และสัตบุรุษ ได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม และไปยังถ้ำที่พระเยซูเจ้าประสูติ เมื่อไปถึงตรงกับเวลาเที่ยงคืนพอดี พระสันตะปาปาทรงถวายบูชามิซซา ณ ที่นั้น เมื่อเดินทางกลับมาที่พักได้เวลาตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และ สัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ยังมีสัตบุรุษหลายคนไม่ได้ร่วมขบวนไปด้วยในตอนแรก พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ในโอกาสวันคริสต์มาส เทียนและพวงมาลัย

         พวงมาลัยนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่คนสมัยก่อนใช้หมายถึงชัยชนะ แต่สำหรับการแขวนพวงมาลัยในวันคริสต์มาสนั้น หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างครบบริบูรณ์ตามแผนการณ์ของพระเป็นเจ้า ซึ่งธรรมเนียมนี้ เกิดจากกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมันได้เอากิ่งไม้มาประกอบเป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเพื่อเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะจุดเทียนหนึ่งเล่ม สวดภาวนา และร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกันเป็นเวลา 4 อาทิตย์ก่อนถึงวันคริสต์มาส ประเพณีเป็นที่นิยมอยางมากในประเทศอเมริกา ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยนำเทียน 1 เล่มนั้นมาจุดไว้ตรงกลางพวงมาลัยสีเขียว และนำไปแขวนไว้ที่หน้าต่าง เพื่อเป็นการเตือนให้คนที่เดินผ่านไปมาได้รู้ว่าใกล้ถึงวันคริสต์มาสแล้ว ส่วนเหตุผลที่พวงมาลัยมีสีเขียวนั้น เป็นเพราะมีการเชื่อกันว่าสีเขียวจะช่วยป้องกันบ้านเรือนจากพวกพลังอันชั่ว ร้ายได้
 ระฆังวันคริสต์มาส
          เสียงระฆังในวันคริสต์มาสคือการเฉลิมฉลองให้กับการประสูติของพระพุทธเจ้า โดยมีตำนานเล่าว่า มีการตีระฆังช่วงก่อนเวลาเที่ยงคืนของวันคริสต์มาสเพื่อลดพลังความมืด และบ่งบอกถึงความตายของปีศาจ ก่อนที่พระเยซูผู้ที่จะมาช่วยไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์จะถือกำเนิดขึ้น และระฆังนี้มีเสียงดังกังวาลนานนับชั่วโมง ก่อนที่ในเวลาเที่ยงคืนเสียงระฆังนี้จะกลับกลายมาเป็นเสียงแห่งความสุข
 ดาว

          ดาว ในความหมายของชาวคริสต์เตียน หมายถึงการแสดงออกที่ดีของพระเยซูคริสต์ ที่บัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า "The bright and morning star" มีความหมายพิเศษเหมือนกับว่า ดวงดาวเหล่านั้นได้แบ่งที่อยู่กับสรวงสวรรค์ ไม่ว่าจะมีกำแพงอะไรขวางกั้นระหว่างพื้นผิวโลกด้วยก็ตาม

 เครื่องประดับและแอปเปิ้ล

                                          

          ในบางแห่งเชื่อว่า ลำต้นของแอปเปิ้ล มองดูคล้ายกับต้นไม้ในสรวงสวรรค์ จึงมีการนำเอาแอปเปิ้ลมาประดับตามต้นไม้ในวันคริสต์มาส ส่วนเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ ที่ตกแต่งต้นคริสต์มาสนั้นเป็นงานศิลปะที่จำลองจากผลไม้ และที่มีสีสันสดใสนั้นเพื่อให้เกิดความรื่นเริงในบ้าน อีกทั้งแสงระยิบระยับที่สะท้อนไปมา ยังดูสวยงามคล้ายแสงเทียนและแสงไฟ

 ของขวัญวันคริสต์มาส
                    
          การแลกเปลี่ยนของขวัญในวันคริสต์มาสนั้น เริ่มต้นจากเมือง Saturnalia ในช่วงยุคโรมัน ต่อมาชาวคริสต์รับประเพณีนี้เข้ามา ด้วยความเชื่อว่า การให้ของขวัญนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับของขวัญประเภททอง, ยางสนที่มีกลิ่นหอม และ ยางไม้หอม ซึ่งพวกนักเวทย์จากตะวันออกที่เดินทางมาคารวะพระเยซูคริสต์ นำมาให้ตอนที่ท่านประสูติ
          ทั้งหมดนั้นก็คือการเฉลิมฉลองให้กับพระเยซู ที่เกิดมาเพื่อชำระบาปให้แก่ชาวคริสต์ทั้งหลาย และเป็นเทศกาลที่นำความสุข สนุกสนาน มาสู่หมู่มวลมนุษย์
 
 
แหล่งที่มา: http://hilight.kapook.com/view/18771


ประวัติบ้านเสานัก

บ้านเสานัก บ้านไม้โบราณ 100 ปี


    รูปแบบและความเก่าของบ้านเสานัก สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิต รสนิยม แบบแผนประเพณีพื้นเมืองของชาวลำปางเป็นอย่างดี ดังนั้นบ้านเสานักจึงเป็นงานสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่า การอนุรักษ์บ้านเสานักจึงเป็นประโยชน์แก่คนรุ่นหลังในการศึกษาเรียนรู้อดีตความเป็นมาของประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่น นำความภาคภูมิใจมาสู่ชาวลำปางอีกด้วย
หลายต่อหลายครั้งที่ต้องสัญจรไปเยือน "เขลางค์นคร" หรือเมืองลำปางในปัจจุบัน กลับทำให้พบว่า แท้จริงแล้วเมืองแห่งนี้มีอะไรน่าค้นหาอีกมากมาย นอกจากเราจะรู้จักชื่อเสียงของลำปางจากรถม้าและชามตราไก่แล้ว ลำปางยังเป็นเมืองที่รวมเอาศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมของล้านนามาไว้ที่นี่ ตั้งแต่วัดพม่า อาคารโบราณสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะบ้านไม้สักที่ว่ากันว่ามีอยู่มากไม่แพ้จังหวัดแพร่ 

                         


   ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้นึกคิดเอาเอง เพราะเมื่อใดที่เหยียบย่างไปบนถนนท่ามะโอ ตั้งแต่สะพานเขลางค์ผ่านป่าไม้เขตจะพบว่ามีบ้านไม้โบราณตั้งเรียงรายอยู่สองฟากถนน ราวกับว่ากำลังเดินทางย้อนกาลเวลาเข้าไปหาอดีตเมื่อราว 50 - 60 ปีก่อน 
หากพูดถึงบ้านไม้สักโบราณในเมือลำปางนั้นมีมาตั้งแต่อดีตหลายร้อยปี แต่ในช่วงที่มีการเปิดสัมปทานทำไม้สักในภาคเหนือดูเหมือนว่าจะเป็นยุครุ่งเรืองของบ้านไม้สักก็ว่าได้ เพราะพ่อค้าคหบดีจะนิยมสร้างบ้านด้วยไม้สักอันเป็นการบ่งบอกถึงฐานะทางสังคม ยิ่งสร้างบ้านได้หลังใหญ่มีจำนวนเสาบ้านมากเท่าใดก็ถือว่าเป็นคนมีฐานะมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นในสมัยก่อนคนโบราณจึงนิยมสร้างบ้านด้วยไม้สักมีเสาขนาดใหญ่หลายต้น

   ในจำนวนบ้านไม้สักโบราณของเมืองลำปาง บ้านเสานักดูเหมือนว่าจะมีคนพูดถึงมากที่สุด เพราะเป็นสถานที่รวมเอาข้าวของเครื่องใช้สมัยโบราณมาไว้มากที่สุด การจัดวางในลักษณะเดิมที่เจ้าของบ้านอาศัยอีกทั้งบรรยากาศของบ้านล้านนา ทำให้บ้านเสานักกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ด้านศิลปวัฒนธรรมของเมืองลำปางที่ไม่เคยเงียบเหงาไปจากผู้มาเยือน
บ้านเสานัก สร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ.2438 โดยคหบดีพ่อค้าชื่อ "หม่องจันโอง" ซึ่งเป็นต้นตระกูลจันทรวิโรจน์ เป็นบ้านไม้สักโบราณศิลปะพม่าผสมล้านนา มีเสาเรือนถึง 116 ต้น ลักษณะที่โดดเด่นของบ้านเสานัก ทำให้อาจารย์จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าลาดกระบัง ได้มาศึกษาและถ่ายภาพนำไปอ้างอิงเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมล้านนา นอกจากนั้นบ้านแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ดูงานของนักศึกษาสถาปัตยกรรมจากหลายสถาบัน จนทำให้ชื่อเสียงของบ้านเสานักเป็นที่รู้จักในหมู่สถาปนิกและนักออกแบบไปทั่วประเทศ กระทั่งเมื่อปี พ.ศ.2539 สยามสมาคมได้นำเสนอเรื่อง





   รูปแบบและความเก่าของบ้านเสานัก สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิต รสนิยม แบบแผนประเพณีพื้นเมืองของชาวลำปางเป็นอย่างดี ดังนั้นบ้านเสานักจึงเป็นงานสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่า การอนุรักษ์บ้านเสานักจึงเป็นประโยชน์แก่คนรุ่นหลังในการศึกษาเรียนรู้อดีตความเป็นมาของประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรมของท้องถิ่น นำความภาคภูมิใจมาสู่ชาวลำปางอีกด้วย
ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัฒน์ ท่านเป็นผู้ที่คุ้นเคยกับบ้านหลังนี้มาตั้งแต่เป็นหนุ่มก็ได้นำเรื่องราวของบ้านออกเผยแพร่ในรายการโทรทัศน์และวิทยุและท่านยังเป็นคนแรกที่เรียกบ้านหลังนี้ว่า "บ้านเสานัก" กระทั่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย

บ้านเสานักตกทอดมาถึงสมัยของคุณหญิงวลัย ลีลานุช อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนลำปางกัลยาณี ซึ่งเป็นหลานตาของหม่องจันโอง ท่านได้ทำการซ่อมแซมปรับปรุงบ้านเสานักเพื่อเป็นที่อยู่ให้เหมาะสมกับยุคสมัย โดยต้องการอนุรักษ์บ้านให้อยู่ในสภาพคงเดิมให้มากที่สุด ภายหลังจากที่คุณหญิงวลัย ลีลานุช ถึงแก่อนิจกรรม ในปี พ.ศ.2535 บ้านเสานักจึงไม่มีผู้อาศัยอยู่ คุณฌาดา ชิวารักษ์ได้สืบทอดเจตนารมย์โดยดูแลบ้านเสานักให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับผู้สนใจ 

    บ้านเสานักผ่านวันเวลาแห่งอดีตกาลในฐานะของบ้านพักคหบดีของลำปาง กระทั่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณอย่างสูงสุดเมื่อ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร พร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรชายาทินัดดามาตุ เสด็จมาประทับเสวยพระกระยาหาร และประทับพักผ่อนพระอริยาบถเมื่อครั้งเสด็จประพาสจังหวัดลำปางเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2520และเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2522 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จมาประทับเสวยพระกระยาหารและประทับพักผ่อนพระอริยาบถที่บ้านเสานักอีกครั้ง นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าแก่ชาวลำปาง 

    ปัจจุบันบ้านเสานัก จัดเป็นพิพิธภัณฑ์ด้านศิลปวัฒนธรรมของจังหวัดลำปาง เก็บรวบรวมเครื่องใช้โบราณ รูปภาพ ภายในบริเวณบ้านเสานักยังมีถุข้าวเสาหลายและต้นสารภีอายุ 130 ปี การเดินทางไปบ้านเสานัก เริ่มต้นจากสะพานเขลางค์ไปตามถนนท่ามะโอ เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนราษฏร์วัฒนา บ้านเสานักเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ 10.00 - 17.00 น.ค่าชมพร้อมเครื่องดื่ม 30 บาท พระภิกษุ เด็ก นักเรียน นักศึกษา เข้าชมฟรี สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ 0 5422 - 7653, 0 - 5422 - 4636
บทความโดย จักรพงษ์ คำบุญเรือง
แหล่งที่มา: http://www.lampang108.com/wb/read.php?tid-133.html

สมบัติผู้ดี



 หนังสือการ์ตูน “สมบัติผู้ดี” ที่เพิ่งถูกนำมาสู่สายตาประชาชนเมื่อประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมา โดยกระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานที่นำเสนอเผยแพร่ เพื่อให้ประชาชนทุกเพศทุกวัยทุกระดับชั้นได้อ่านกัน เนื่องด้วยเป็นภาพการ์ตูนและการบรรยายที่ง่ายๆ อ่านสบายๆ สนุกสนาน
     
        หลายๆ ฝ่ายต่างถามกันว่า “วันดีคืนดี หนังสือการ์ตูนสมบัติผู้ดีทำไมถึงต้องถูกนำมาเผยแพร่ช่วงนี้?” ช่วงที่กล่าวถึงนี้เป็นช่วงที่ บรรยากาศทางการเมืองค่อนข้างจะร้อนฉ่า นอกเหนือจากกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว ยังมีกรณีเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นระหว่าง “สื่อมวลชน” กับ “นายกรัฐมนตรี” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การตำหนิ” จากหลายๆ ฝ่ายกรณี “วาทะ” ของนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช ที่ค่อนข้างออกไปทาง “หยาบคาย” คำตอบก็น่าจะเป็นไปได้ว่า “ความเป็นสมบัติผู้ดีของคนไทยอาจจะบกพร่อง และ/หรือ ขาดหายไป!”
     
        ว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว “สไตล์-ลีลา” ในการสนทนาพูดคุยและสัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช ก็เป็นเช่นนี้ตามปกติอยู่แล้ว ที่อยู่ในลักษณะของ “โผงผาง-ตรงไปตรงมา” จนถึงขั้น “ขวานผ่าซาก!” ที่แน่นอนไม่น่าจะไพเราะเสนาะหูหลายๆ ฝ่าย จึงไม่สบอารมณ์ประชาชนบางกลุ่ม
     
        อย่างไรก็ดี “หนังสือการ์ตูนสมบัติผู้ดี!” ที่ถูกนำมาเผยแพร่นั้นอาจจะบังเอิญพอดีกับสภาวการณ์ที่เกิดขึ้น จึงดูเสมือนว่าหนังสือการ์ตูนเล่มนี้ถูกนำออกมาเพื่อให้คุณสมัคร สุนทรเวช ได้ตระหนักบ้าง แต่ “แสงแดด” ว่าน่าจะมีการดำเนินการเขียนมานานก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งน่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2-3 เดือน
     
        ทั้งนี้ที่กล่าวมาทั้งหมดมิได้เข้าข้างนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช แต่อย่างใด เพียงแต่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์เพื่อ “ความถูกต้อง-เป็นธรรม” เท่านั้น เนื่องด้วย “แสงแดด” มิได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ ทั้งสิ้น แต่ถามว่า “สมบัติผู้ดี” ของคนไทยในยุคปัจจุบัน “สังคมสมัยใหม่” บกพร่องขาดหายไปหรือไม่ ก็ต้องตอบฟันธงเลยว่า “จริง!”      
        “แสงแดด” มีอาชีพหลักอีกอาชีพหนึ่งคือ “นักวิชาการ-ครูบาอาจารย์” ที่พร่ำเดินสายบรรยายและสอนหนังสือมายาวนานถึง 13 ปี ประกอบกับมีเพื่อนพ้องน้องพี่ที่เป็นทั้งลูกศิษย์ และครูอาจารย์สอนในระดับมหาวิทยาลัยตั้งแต่ระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ซึ่งต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่า “สมบัติผู้ดี สำหรับผู้คนทั่วไปนั้น คงไม่ต้องไปกล่าวถึงมากนัก เพราะคงจะไม่เข้าใจ และ/หรือเข้าใจยากกับสภาวการณ์ของวัฒนธรรมโลกยุคใหม่”
     
        เอาแค่นักศึกษาตั้งแต่ระดับปริญญาตรี โท และเอก ยังไม่ค่อยเข้าใจ จนถึงขั้น “ไร้สมบัติผู้ดี!” มีอยู่ดาษดื่น อาจจะเนื่องด้วยสังคมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หรือ “พ่อแม่ไม่ได้สั่งสอน!” หรือแม้กระทั่ง สถาบันการศึกษาตั้งแต่ระดับประถมจนถึงระดับมัธยม แม้กระทั่งมหาวิทยาลัย ก็คงไม่ได้สั่งไม่ได้สอนเช่นเดียวกันก็ได้ เนื่องด้วยสังคมยุคใหม่ “ตัวใครตัวมัน!” และไม่สำคัญเท่ากับ “การแก่งแย่ง!” และ “ชิงดีชิงเด่น!” จนไม่สามารถเข้าใจและแยกแยะได้มากมายนักว่า “อะไรควร-อะไรไม่ควร”
     
        มีเพื่อนรุ่นน้องที่เป็นอาจารย์สอนหนังสือในระดับมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของเมืองไทย เล่าให้ “แสงแดด” อย่างมีอารมณ์ว่า ระหว่างเดินในรั้วมหาวิทยาลัย นักศึกษาคนหนึ่งเดินผ่านแล้วชน ซึ่งอาจจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ว่านักศึกษาคนนั้นเมื่อ “เดินชน” แล้ว ก็มิได้แสดงอาการตกใจ หรือรู้สึกตัวแต่ประการใด ด้วยการเดินต่อไปอย่างไม่ได้สนใจ และ/หรือ แยแสว่าได้เดินชนใครคนใดคนหนึ่ง เหมือน “ผีดิบ” อะไรทำนองนั้น “นี่…นักศึกษานะ!”      
        จนในที่สุด เพื่อนอาจารย์รุ่นน้องต้องเดินวกกลับและตามไปแตะบ่านักศึกษาคนนั้น พร้อมพูดว่า “นี่…คุณ…เมื่อกี้เดินชนผมน่ะ…ไม่รู้ตัวเลยหรือ?” นักศึกษาคนนั้นตอบด้วยอาการปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและตอบว่า “อ้าวเหรอ!...ผมมองไม่เห็น!” แล้วเขาก็เดินจากไป ปราศจาก “สำนึกผิด” และคำว่า “ขอโทษด้วยซ้ำ!”
     
        เป็นกรณีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงที่เพื่อนอาจารย์รุ่นน้องท่านนั้นปัจจุบันยังคง “อารมณ์เสีย” กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนานมาแล้ว ถามว่า “เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยและหลายแห่งหรือไม่?” ก็ต้องตอบอย่างไม่ต้องลังเล พร้อมการประมวลทั้งข้อมูลและเหตุการณ์จากที่ได้ยินได้ฟังและขอสารภาพว่า “เคยประสบกับตนเอง” กับ “สมบัติผู้ดีสูญ” ของ “คนรุ่นใหม่” แต่ที่น่าผิดหวังคือ “กลุ่มคนในระดับการศึกษาสูง!”
     
        อย่าไปเพียงตำหนินักศึกษาระดับปริญญาตรีที่ต้องยอมรับว่าอยู่ในระดับที่ต้องมี “ความรู้-ความคิด” ขั้นพื้นฐานพอสมควรที่จะมี “วุฒิภาวะ” เพียงพอสำหรับ “การสังเคราะห์-วิเคราะห์” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง “แยกแยะ” เพียงว่า “อะไรควร- อะไรไม่ควร” หรือสามารถถึงขั้น “ผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี” ซึ่งว่ากันตามความจริงแล้ว คนที่ศึกษาเล่าเรียนถึงระดับนี้น่าจะมีความคิดเกินระดับ “ผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี” อย่างเพียงพอแล้ว และว่าไปแล้ว “อะไรควร-ไม่ควร” ก็น่าจะ “ตระหนัก” ไม่ต้องถึงขั้น “สำนึก”
     
        “แสงแดด” เป็นบุคคลที่เดินทางต่างประเทศอย่างน้อยปีละประมาณ 2-3 ครั้ง หรือภายในประเทศปีละประมาณ 7-8 ครั้ง เพื่อการบรรยายกับสัมมนา แต่ในต่างประเทศนั้นก็ได้มีโอกาสสัมผัสกับบรรยากาศในมหาวิทยาลัย ซึ่งต้องบอกอย่างไม่เกรงใจว่า “วัฒนธรรม” ของนักศึกษาทุกระดับ กล่าวคือ ปริญญาตรี โท เอก จะมี “มารยาท” ที่อ่อนน้อมถ่อมตน “สุภาพ” อย่างมาก ไม่ว่าต่อครูบาอาจารย์ หรือแม้กระทั่ง “บรรณารักษ์” บุคคลที่ดูแลห้องสมุด
     
        นักศึกษาฝรั่งและต่างชาติจะแสดง “ความเกรงใจ” จนถึงขั้น “ความเคารพ” กับอาจารย์และผู้บริหารของมหาวิทยาลัย อาทิ เวลาเดินผ่านอาจารย์จะหลีกทางให้ ไม่ชนอาจารย์เหมือนนักศึกษาบ้านเรา เมื่อเวลาสนทนาจะมีคำว่า “เซอร์ (Sir) – แมม (Mam)” ตบท้ายตลอดเวลา ซึ่งแปลว่า “ครับท่านอาจารย์-ครับท่าน” อะไรทำนองนั้น แต่ที่สำคัญคือ การแสดงความเคารพนอบน้อม ซึ่งต้องเรียกว่า “วัฒนธรรมสูง (High Culture)” ของสังคมเขา
     
        ในทางกลับกัน เป็นกรณีที่แทบไม่น่าเชื่อว่านักศึกษาไทย “ปราศจาก-ไร้วัฒนธรรม” อย่างมากทุกระดับชั้นที่ “ไร้มารยาท” ในการแสดง “ความเคารพ-เกรงใจ” ต่อครูอาจารย์ จนบางครั้งถึงกับ “เดินชน” หรือแม้กระทั่ง “ต้องเดินหลีกทาง” ให้กับนักศึกษา “ไม่งั้นมันชนแน่!”
     
        แต่ที่น่าผิดหวังไปมากกว่านั้นคือ นักศึกษาที่ศึกษาในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก ในระดับสูงสำหรับนักบริหาร (Executive) ซึ่งหมายความว่า เป็นนักศึกษาที่มีทั้ง “วุฒิภาวะ-วุฒิการศึกษา” และ “อายุ” พร้อม “ตำแหน่งหน้าที่การงาน” ที่สูงพอสมควร อย่างน้อยก็ราวๆ 32-45 มีประสบการณ์การทำงานไม่ต่ำกว่า 15-20 ปี บางคนมี “มารยาทต่ำ!” ที่ไม่รู้สึกรู้สา ยินดียินร้าย โอภาปราศรัย ที่จะทักทายครูบาอาจารย์ที่ไม่ได้สอนเขาหรือ “ให้คุณให้โทษได้!”
     
        ทั้งนี้ “พฤติกรรม” เช่นนี้ มิใช่เกิดขึ้นกับนักศึกษาทุกคน มีเพียงร้อยละ 20-30 เท่านั้น จะมีพฤติการณ์และพฤติกรรมเช่นนี้ ซึ่งบางครั้งไม่ได้แยแสว่าครูบาอาจารย์จะเดินอย่างไร “ถ้าไม่หลีกฉันชนนะ!”      
        “แสงแดด” เคยประสบกับตนเองมาบ่อยครั้งกับนักศึกษาระดับปริญญาโทและเอก ที่ถ้าไม่ใช่อาจารย์ฉัน อย่าว่าแต่ทักทาย เพียงแค่พยักหน้ายิ้มเหมือน “กิ้งก่า” และกล่าว “สวัสดี” ก็พอรับได้ แต่ถึงขั้นต้องหลีกทางให้ “ฯพณฯ นักศึกษา” ก็เคยประพฤติปฏิบัติมาแล้วไม่งั้นถูกชนล้มแน่นอน!
     
        ความจริงที่เราต้องยอมรับว่า “วัฒนธรรม” ของนักศึกษาไทย ตลอดจนคนรุ่นใหม่ในสังคมไทยปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้งๆ ที่สังคมไทยเป็น “สังคมเก่าแก่” มี “วัฒนธรรมดีงาม” ที่จะโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และไม่สำคัญเท่ากับ “ระบบอาวุโส” ที่ต้องให้เกียรติและเคารพผู้ที่มีอายุมากกว่า แต่ในทางกลับกัน “วัฒนธรรม-ขนบธรรมเนียมประเพณี” เหล่านี้กลับค่อยๆ สูญหายไปจากสังคมไทย
     
        เป็นกรณีที่แทบไม่น่าเชื่อว่า “การลืมตัว-สำคัญผิด” ของพฤติกรรมนักศึกษาที่สะท้อนให้เห็นถึง “วุฒิภาวะ” ที่ขอเสียมารยาทเรียกขานว่า “ต่ำ” แต่กลับปรารถนาที่จะศึกษาเล่าเรียนในระดับการศึกษาที่สูง คำถามสำคัญต้องถามว่า “เล่าเรียนศึกษาเป็นมหาบัณฑิตหรือดุษฎีบัณฑิตเพื่อใบปริญญาเพื่อความโก้เก๋ หรือเพื่อความรู้ที่จะนำไปปรับประยุกต์ใช้กับการทำงานที่สร้างโอกาสก้าวหน้าให้กับตนเองและองค์กร โดยที่มิได้ประเทืองปัญญาเลยหรือ?”
     
        การศึกษาไม่ว่าระดับใด เป้าหมายสำคัญคือ ความรู้ที่จะต้องถูกนำมาประเทืองปัญญาให้เกิดการคิด มีจิตวิเคราะห์แยกแยะผิดถูก ควรไม่ควร ซึ่งในที่สุดจะก่อให้เกิดวุฒิภาวะที่ค่อยๆ พัฒนาไต่ระดับสูงขึ้นไป จนกลายเป็นบุคคลที่มีสติและปัญญาในการช่วยแก้ไขปัญหาและพัฒนาตนเอง องค์กร และสังคมให้ดีขึ้น!
     
        อย่างไรก็ตาม ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น มิใช่นักศึกษาทุกคนเป็นเช่นนั้นหมด ดังที่กล่าวไว้ว่า มีเพียง 20-30 เท่านั้น นอกนั้น “ความเป็นสมบัติผู้ดี” ส่วนใหญ่ของนักศึกษายังมีอยู่มาก เพียงแต่นักศึกษา “มารยาทต่ำ-วัฒนธรรมต่ำ” มิได้ศึกษาและพัฒนาตนเองให้เหมาะสมกับระดับการศึกษา อายุ หน้าที่การงาน และไม่สำคัญเท่ากับ “วุฒิภาวะ!” ที่พึงจะเป็น
     
        “สมบัติผู้ดี” ของคนไทยในปัจจุบัน เป็นกรณีที่ “น่าผิดหวัง-น่าเสียดาย” อย่างมากที่ค่อยๆ ขาดหายไปจาก “ความเป็นไทย” ไม่ว่าจะเป็นทั้ง “พฤติกรรม-วิธีคิด-วิธีพูดจาสนทนา-การกระทำ” ของบุคคลแทบจะทุกระดับชั้น ซึ่งต้องถึงเวลาแล้วที่ต้องเริ่มต้นใหม่กับการรื้อฟื้น “สมบัติผู้ดี” ด้วยการเริ่มต้นจากสถาบันครอบครัว สื่อสารมวลชน โดยเฉพาะโทรทัศน์ สถาบันการศึกษา และแน่นอนสังคมองค์รวมที่ต้องช่วยกันจรรโลงให้คนไทยมี “ความเป็นผู้ดี!” มากกว่านี้ ซึ่งน่าเสียดายมากกับ “มารยาท” ของไทยที่เคยได้รับการยอมรับอย่างมากในอดีต
     
        เราคงจะต้องเริ่มต้นเสียมารยาทกันแล้วล่ะมังกับการบอกกล่าวตักเตือนกันอย่างตรงไปตรงมา เพื่อจะได้เริ่มมี “สมบัติผู้ดี” กันบ้างได้แล้ว!
แหล่งที่มา:http://www2.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000064889

วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ปัญหาเด็กติดเกมส์

                                        ปัญหาเด็กติดเกมส์ในสังคมไทย




  

…เกม… ถือเป็นสิ่งบันเทิงสิ่งหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลชนิดหนักหน่วง เกมในโลกของดิจิทัลกลายสภาพเป็นสิ่งทรงเสน่ห์ที่เหล่าเยาวชนทั้งหลายใฝ่ฝันอยากจะได้สัมผัสมัน และเมื่อได้พบเจอก็เกิดอาการสุ่มหลงขึ้นอย่างชนิดถอนตัวได้ยากยิ่งสำหรับเด็กหลาย ๆ คน
         ความรุนแรง สิ่งยั่วยุต่าง ๆ ภายในเกม มีผลกระทบให้เด็กก่อพฤติกรรมที่ไม่น่าเชื่อขึ้นมากมาย ดังที่เราได้พบเห็นบ่อยครั้งตามหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยครั้ง …คำพิพากษานี้อาจดูเป็นการปรักปรำจนเกินไปนัก และยากจะยอมรับได้สำหรับคนอีกหมู่มากที่ไม่ประสบปัญหาใด ๆ ในการเล่นเกม นอกจากกการได้พักผ่อน ความสนุกสนาน ความสุขที่สิ่งอื่นไม่สามารถให้ได้ ฯ รวมถึงบริษัทผู้ผลิตเกมต่าง ๆ ก็พร้อมจะออกมาด้านความคิดเห็นนี้อย่างเต็มตัว
             ความรุนแรง สิ่งยั่วยุต่าง ๆ ภายในเกม มีผลกระทบให้เด็กก่อพฤติกรรมที่ไม่น่าเชื่อขึ้นมากมาย ดังที่เราได้พบเห็นบ่อยครั้งตามหน้าหนังสือพิมพ์บ่อยครั้ง …คำพิพากษานี้อาจดูเป็นการปรักปรำจนเกินไปนัก และยากจะยอมรับได้สำหรับคนอีกหมู่มากที่ไม่ประสบปัญหาใด ๆ ในการเล่นเกม นอกจากกการได้พักผ่อน ความสนุกสนาน ความสุขที่สิ่งอื่นไม่สามารถให้ได้ ฯ รวมถึงบริษัทผู้ผลิตเกมต่าง ๆ ก็พร้อมจะออกมาด้านความคิดเห็นนี้อย่างเต็มตัว


     อย่างไรก็ดี… คงต้องยอมรับว่า เกมบางประเภทนั้น อยู่ในข่ายที่ไม่เหาะสมจริง ไม่ว่าจะในแง่ของโครงสร้างเกม, แนวคิดของเกม, วิธีการเล่น หรือ สิ่งต่าง ๆ ที่แสดงอออกมาภายในเกม

            อย่างไรก็ดี… คงต้องยอมรับว่า เกมบางประเภทนั้น อยู่ในข่ายที่ไม่เหาะสมจริง ไม่ว่าจะในแง่ของโครงสร้างเกม, แนวคิดของเกม, วิธีการเล่น หรือ สิ่งต่าง ๆ ที่แสดงอออกมาภายในเกม


 

            ทว่า…ในประเทศที่อุตสาหกรรมเกมทรงตัว ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ความคุ้นเคยรวมถึงความรู้-ความเข้าใจในอุตสาหกรรมนี้ ก่อให้เกิดการกำหนดกฎระเบียบที่จัดขึ้นเพื่อดูแลสิ่งต่าง ๆ จากสังคม โดยเฉพาะการจัดเรทของเกม ทำให้เกมต่าง ๆ จังคงความอิสระในแง่การผลิต… การพัฒนา… เพียงแต่ต้องผ่านคณะกรรมการคุ้มครองเพื่อให้เรทที่ถูกต้องแก่เกมนั้น ๆ พร้อมชี้แจงแถลงไขข้อเสียของเกม ที่จะส่งผลต่อทั้งสุขภากายและใจของผู้เล่นอย่างชัดเจนในคุ่มือที่แนบแถมไปกับตัวเกมด้วยเพียงแต่ว่า … การข้ามน้ำข้ามทะเล การกระจายของเหล่าแกมต่าง ๆ โดยเฉพาะจากตลาดใหญ่อย่าง อเมริกา และญี่ปุ่น ยังคงหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทยอย่างไม่หยุดหย่อน แม้กฎดิกาอาจดูเหมือนชัดเจนในการนำเข้าเกมต่าง ๆ แต่อย่างว่า… ประเทศไทยไม่มีคณะกรรมการให้เรทเกมแต่อย่างใด อีกทางการนำเกมเข้ามาก็ไม่ได้สนใจเราที่ทางต่างประเทศจัดไว้อยู่แล้วด้วย โดยหลักที่ปฏิบัติกันอยู่คือทุกเกมยินดีขายให้คนไทยทุกเพศทุกวัย แม้บางเกมในประเทศเสรีภาพอย่างอเมริกาจะติดเรท 18+(ผู้เล่นต้องมีอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไป) ก็ตามที


     ทว่า…ในประเทศที่อุตสาหกรรมเกมทรงตัว ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ความคุ้นเคยรวมถึงความรู้-ความเข้าใจในอุตสาหกรรมนี้ ก่อให้เกิดการกำหนดกฎระเบียบที่จัดขึ้นเพื่อดูแลสิ่งต่าง ๆ จากสังคม โดยเฉพาะการจัดเรทของเกม ทำให้เกมต่าง ๆ จังคงความอิสระในแง่การผลิต… การพัฒนา… เพียงแต่ต้องผ่านคณะกรรมการคุ้มครองเพื่อให้เรทที่ถูกต้องแก่เกมนั้น ๆ พร้อมชี้แจงแถลงไขข้อเสียของเกม ที่จะส่งผลต่อทั้งสุขภากายและใจของผู้เล่นอย่างชัดเจนในคุ่มือที่แนบแถมไปกับตัวเกมด้วยเพียงแต่ว่า … การข้ามน้ำข้ามทะเล การกระจายของเหล่าแกมต่าง ๆ โดยเฉพาะจากตลาดใหญ่อย่าง อเมริกา และญี่ปุ่น ยังคงหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทยอย่างไม่หยุดหย่อน แม้กฎดิกาอาจดูเหมือนชัดเจนในการนำเข้าเกมต่าง ๆ แต่อย่างว่า… ประเทศไทยไม่มีคณะกรรมการให้เรทเกมแต่อย่างใด อีกทางการนำเกมเข้ามาก็ไม่ได้สนใจเราที่ทางต่างประเทศจัดไว้อยู่แล้วด้วย โดยหลักที่ปฏิบัติกันอยู่คือทุกเกมยินดีขายให้คนไทยทุกเพศทุกวัย แม้บางเกมในประเทศเสรีภาพอย่างอเมริกาจะติดเรท 18+(ผู้เล่นต้องมีอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไป) ก็ตามที

              อีกทั้ง… อย่างที่รู้กันว่า อุตสาหกรรมใต้ดินของประเทศเรานั้น เป็นสิ่งเหนือกฎหมายมาช้านานแล้ว เกมที่ถูกนำเข้ามาจึงไม่ได้สนใจในแง่ของจริยธรรม หรือขนบธรรมเนียมประเพณี ขอแค่ให้แปลก น่าตื่นเต้น อันตราย ก็เพียงพอ เพราะเกมดังกล่าวคือเกมที่ขายได้ นั่นคือ ไอเดียในการประกอบธุรกิจของเหล่าอุตสาหกรรมแผ่นเกมก๊อปปี้ในไทย และในเมื่อเป็นธุรกิจผิดกฎหมาย ลงทุนต่ำ ทำให้สามาถขายได้ในราคาที่ถูกมาก ๆ กลไกลการป้องกันด้านราคาจึงถูกมองข้ามไปเช่นกัน จากในต่างประเทศ… เกมบางเกมที่ดูล่อแหลมจะถูกจัดเรทสูง ๆ และขายในราคาแพง               พร้อมกันนี้ โดยภาพรวมแล้ว ในประเทศที่อุตสาหกรรมเกมเฟื่องฟู จะมีกฎหมายดูแล และการลงโทษที่รุนแรง หากทำผิด การดูแลควบคุมจึงอย่าในระดับที่ไว้วางใจได้
จากเรื่องราวและปัจจัยต่าง ๆ ข้างต้น สามารถตีแผ่นลักษณะของเกมที่ส่งผลต่อความรุนแรงของเยาวชนไทยได้ 2 กรณีกรณีแรกคือ เกมดังกล่าวเป็นเกมที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีการจัดเรทชัดเจน รวมถึงผ่านคณะกรรมการเซ็นเซอร์ต่าง ๆ เรียบร้อย แต่เมื่อถูกนำเข้ามารยังไทย เรทจะถูกยกทิ้งไป เยาวชนไทยสามารถซื้อไปเล่นได้อย่างอิสระ ซึ่งเกมบางเกมนั้น มีเนื้อหาที่รุนแรง ยั่วยุ เกินไป สำหรับเด็กบางวัย               อาทิเช่น เกมอย่าง Hitman ที่ผู้เล่นจะรับบทเป็นนักฆ่าที่ต้องออกตามล่าฆ่าผู้ตนตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งภาพกราฟิกของเกมจะรุนแรงมีลักษณะการนองเลือด รวมถึงวิธีการฆ่าของตัวเอกก็ค่อนข้างจะโหดร้ายทารุณThe Punisher เกมที่พระเอกจะออกตามล้างแค้นให้กับลูกเมียที่ถูกเล่าร้ายฆ่า ซึ่งต้องมีการทรมานเหล่าคนร้ายเพื่อให้เดเผยความลับต่าง ๆ ออกมา เพื่อตามหาหัวหน้าใหญ่ให้เจอก่อนกำจัดให้สิ้นซาก วิธีการทรมานมีมากมายไม่ว่าจะเป็นการจับกดน้ำ บีบคอ ซ้อม รัดคอฯ ซึ่งรุนแรง และมีภาพกราฟิกนองเลือด น่ากลัว Grand Theft Auto เกมที่เป็นเรื่องราวของสงครามกลางเมือง ระหว่างสารพัดสารพันแก๊งเรื่องราวการคอรัปชั่น ความเน่าเฟอะของวงการตำรวจเลว เรื่องราวการเหยียดสีผิว ความรุนแรงทางเพศ ยาเสพติด อาชญากรรม โจรกรรม การฆาตกรรม เป็นเกมที่มีภาพความรุนแรงชัดเจน รวมถึงภาพการร่วมเพศ (ล่าสุดได้ถูกสั่งถอดฉากดังกล่าวออกจากเกมแล้ว) ฯลฯ

             อีกทั้ง… อย่างที่รู้กันว่า อุตสาหกรรมใต้ดินของประเทศเรานั้น เป็นสิ่งเหนือกฎหมายมาช้านานแล้ว เกมที่ถูกนำเข้ามาจึงไม่ได้สนใจในแง่ของจริยธรรม หรือขนบธรรมเนียมประเพณี ขอแค่ให้แปลก น่าตื่นเต้น อันตราย ก็เพียงพอ เพราะเกมดังกล่าวคือเกมที่ขายได้ นั่นคือ ไอเดียในการประกอบธุรกิจของเหล่าอุตสาหกรรมแผ่นเกมก๊อปปี้ในไทย และในเมื่อเป็นธุรกิจผิดกฎหมาย ลงทุนต่ำ ทำให้สามาถขายได้ในราคาที่ถูกมาก ๆ กลไกลการป้องกันด้านราคาจึงถูกมองข้ามไปเช่นกัน จากในต่างประเทศ… เกมบางเกมที่ดูล่อแหลมจะถูกจัดเรทสูง ๆ และขายในราคาแพง


              พร้อมกันนี้ โดยภาพรวมแล้ว ในประเทศที่อุตสาหกรรมเกมเฟื่องฟู จะมีกฎหมายดูแล และการลงโทษที่รุนแรง หากทำผิด การดูแลควบคุมจึงอย่าในระดับที่ไว้วางใจได้
จากเรื่องราวและปัจจัยต่าง ๆ ข้างต้น สามารถตีแผ่นลักษณะของเกมที่ส่งผลต่อความรุนแรงของเยาวชนไทยได้ 2 กรณีกรณีแรกคือ เกมดังกล่าวเป็นเกมที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีการจัดเรทชัดเจน รวมถึงผ่านคณะกรรมการเซ็นเซอร์ต่าง ๆ เรียบร้อย แต่เมื่อถูกนำเข้ามารยังไทย เรทจะถูกยกทิ้งไป เยาวชนไทยสามารถซื้อไปเล่นได้อย่างอิสระ ซึ่งเกมบางเกมนั้น มีเนื้อหาที่รุนแรง ยั่วยุ เกินไป สำหรับเด็กบางวัย


               อาทิเช่น เกมอย่าง Hitman ที่ผู้เล่นจะรับบทเป็นนักฆ่าที่ต้องออกตามล่าฆ่าผู้ตนตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งภาพกราฟิกของเกมจะรุนแรงมีลักษณะการนองเลือด รวมถึงวิธีการฆ่าของตัวเอกก็ค่อนข้างจะโหดร้ายทารุณThe Punisher เกมที่พระเอกจะออกตามล้างแค้นให้กับลูกเมียที่ถูกเล่าร้ายฆ่า ซึ่งต้องมีการทรมานเหล่าคนร้ายเพื่อให้เดเผยความลับต่าง ๆ ออกมา เพื่อตามหาหัวหน้าใหญ่ให้เจอก่อนกำจัดให้สิ้นซาก วิธีการทรมานมีมากมายไม่ว่าจะเป็นการจับกดน้ำ บีบคอ ซ้อม รัดคอฯ ซึ่งรุนแรง และมีภาพกราฟิกนองเลือด น่ากลัว Grand Theft Auto เกมที่เป็นเรื่องราวของสงครามกลางเมือง ระหว่างสารพัดสารพันแก๊งเรื่องราวการคอรัปชั่น ความเน่าเฟอะของวงการตำรวจเลว เรื่องราวการเหยียดสีผิว ความรุนแรงทางเพศ ยาเสพติด อาชญากรรม โจรกรรม การฆาตกรรม เป็นเกมที่มีภาพความรุนแรงชัดเจน รวมถึงภาพการร่วมเพศ (ล่าสุดได้ถูกสั่งถอดฉากดังกล่าวออกจากเกมแล้ว) ฯลฯ
              อาทิเช่น เกมอย่าง Hitman ที่ผู้เล่นจะรับบทเป็นนักฆ่าที่ต้องออกตามล่าฆ่าผู้ตนตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งภาพกราฟิกของเกมจะรุนแรงมีลักษณะการนองเลือด รวมถึงวิธีการฆ่าของตัวเอกก็ค่อนข้างจะโหดร้ายทารุณThe Punisher เกมที่พระเอกจะออกตามล้างแค้นให้กับลูกเมียที่ถูกเล่าร้ายฆ่า ซึ่งต้องมีการทรมานเหล่าคนร้ายเพื่อให้เดเผยความลับต่าง ๆ ออกมา เพื่อตามหาหัวหน้าใหญ่ให้เจอก่อนกำจัดให้สิ้นซาก วิธีการทรมานมีมากมายไม่ว่าจะเป็นการจับกดน้ำ บีบคอ ซ้อม รัดคอฯ ซึ่งรุนแรง และมีภาพกราฟิกนองเลือด น่ากลัว Grand Theft Auto เกมที่เป็นเรื่องราวของสงครามกลางเมือง ระหว่างสารพัดสารพันแก๊งเรื่องราวการคอรัปชั่น ความเน่าเฟอะของวงการตำรวจเลว เรื่องราวการเหยียดสีผิว ความรุนแรงทางเพศ ยาเสพติด อาชญากรรม โจรกรรม การฆาตกรรม เป็นเกมที่มีภาพความรุนแรงชัดเจน รวมถึงภาพการร่วมเพศ (ล่าสุดได้ถูกสั่งถอดฉากดังกล่าวออกจากเกมแล้ว) ฯลฯ



              ทั้งนี้ ปัจจุบันเกมในท้องตลาดส่วนใหญ่เป็นเกมแนวสงคราม ที่ต้องมีการรบราฆ่าฟันกัน ซึ่งมีความรุนแรงอยู่ในตัวของมันเอง อย่างที่บอกว่า สงครามไม่มีประโยชน์กับใครทั้งสิ้น แต่เกมสงครามกับมีมากมายเกลื่อนตลาด ซึ่งนั่นส่งผลต่อการเล่นของเยาวชนโดยตรงแน่นอน ที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่า สงครามคือสิ่งที่ดีอีดทั้งเป็นการปมเพาะนิสัยใช้ความรุนแรงในการตัดสินปัญหาต่าง ๆ
                ทั้งนี้ ปัจจุบันเกมในท้องตลาดส่วนใหญ่เป็นเกมแนวสงคราม ที่ต้องมีการรบราฆ่าฟันกัน ซึ่งมีความรุนแรงอยู่ในตัวของมันเอง อย่างที่บอกว่า สงครามไม่มีประโยชน์กับใครทั้งสิ้น แต่เกมสงครามกับมีมากมายเกลื่อนตลาด ซึ่งนั่นส่งผลต่อการเล่นของเยาวชนโดยตรงแน่นอน ที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่า สงครามคือสิ่งที่ดีอีดทั้งเป็นการปมเพาะนิสัยใช้ความรุนแรงในการตัดสินปัญหาต่าง ๆ อีกกรณีคือ เกมใต้ดินอย่างแท้จริง ที่ต้องหลีกเลี่ยงอย่างชัดเจน โดยตัวเกมจะเป็นการกระทำนอกรีดต่าง ๆ อย่างเช่น เกมที่ออกตามฆ่าคนอย่างทารุณ โหดเหี้ยม, การวางระเบิดสถานที่สำคัญต่าง ๆ, เกมที่ออกหาเหยื่อผู้หญิงเพื่อตามข่มขืน, เกมทรมานคน ที่ออกหาเหยื่อมาจับขังไว้ทำการทรมานจนตาย, เกมจีบสาวแล้วหลอกฟันไปเรื่อย ๆ ใครฟันสาวได้มากก็ได้คะแนนมาก ฯลฯในส่วนของเกมใต้ดิน ถือเป็นเรื่องยากที่เยาวชนไทยเราจะสามรถหามาลองเล่นกันได้เพราะเป็นตลาดระดับล่าง ลึกลับในต่างประเทศแต่ถ้าหามาเล่นได้จริง อย่างว่าแต่เยาวชนเลยแม้แต่ผู้ใหญ่ ก็ถือว่าน่าเป็นห่วงเช่นเดียวกัน

                อีกกรณีคือ เกมใต้ดินอย่างแท้จริง ที่ต้องหลีกเลี่ยงอย่างชัดเจน โดยตัวเกมจะเป็นการกระทำนอกรีดต่าง ๆ อย่างเช่น เกมที่ออกตามฆ่าคนอย่างทารุณ โหดเหี้ยม, การวางระเบิดสถานที่สำคัญต่าง ๆ, เกมที่ออกหาเหยื่อผู้หญิงเพื่อตามข่มขืน, เกมทรมานคน ที่ออกหาเหยื่อมาจับขังไว้ทำการทรมานจนตาย, เกมจีบสาวแล้วหลอกฟันไปเรื่อย ๆ ใครฟันสาวได้มากก็ได้คะแนนมาก ฯลฯ

                 ในส่วนของเกมใต้ดิน ถือเป็นเรื่องยากที่เยาวชนไทยเราจะสามรถหามาลองเล่นกันได้เพราะเป็นตลาดระดับล่าง ลึกลับในต่างประเทศแต่ถ้าหามาเล่นได้จริง อย่างว่าแต่เยาวชนเลยแม้แต่ผู้ใหญ่ ก็ถือว่าน่าเป็นห่วงเช่นเดียวกัน

               จากเรื่องราวทั้งหมด และ 2 กรณีที่ชี้แจงไป การแก้ปัญหาความรุนแรงของเยาวชนไทยที่มีสาเหตุจากการเล่นเกมนั้น คือ ต้องมีคณะกรรมการควบคุมดูแล พิจารณา ในการนำเข้าเกมต่าง ๆ ที่จะนำมาจำหน่าย และเมื่อมีการนำเจ้ามาแล้ว ก็ต้องมีการพิจารณาให้เรทเกม หรือจะยึดถือเรทตามที่ต่างประเทศกำหนดมาก็ได้ พร้อมกันนี้ ผู้ปกครองควรให้ความดูแล เอาใจใส่ บุตรหลานของท่าน ต้องดูแลว่า เขาซื้อเกมอะไรมาเล่นบ้าง ร่วมเล่นกับเขา ให้คำแนะนำให้ความรักความเข้าใจ ตอบคำถามทุกคำถามที่เขาสงสัย อย่ามองข้ามสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้นน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดปัญหาความรุนแรงต่าง ๆ ในตัวเยาวชน ซึ่งก็คือ การมอบความรักความเข้าใจให้พวกเขานั่ง

              ทั้งนี้ ปัจจุบันเกมในท้องตลาดส่วนใหญ่เป็นเกมแนวสงคราม ที่ต้องมีการรบราฆ่าฟันกัน ซึ่งมีความรุนแรงอยู่ในตัวของมันเอง อย่างที่บอกว่า สงครามไม่มีประโยชน์กับใครทั้งสิ้น แต่เกมสงครามกับมีมากมายเกลื่อนตลาด ซึ่งนั่นส่งผลต่อการเล่นของเยาวชนโดยตรงแน่นอน ที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่า สงครามคือสิ่งที่ดีอีดทั้งเป็นการปมเพาะนิสัยใช้ความรุนแรงในการตัดสินปัญหาต่าง ๆ


แหล่งที่มา: http://www.merit.net84.net/1_12_-.html

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยจังหวัดลำปาง

ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย

1

ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย ตั้งอยู่ที่บ้านทุ่งเกวียน ต.เวียงตาล อยู่ในความดูแลของฝ่ายอุตสาหกรรมป่าไม้ภาคเหนือ
องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ออป.) แต่เดิม ออป. เป็นศูนย์ฝึกลูกช้างซึ่งเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในโลก โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2512 เป็นสถานที่เลี้ยงและฝึกลูกช้างเพื่อให้เชื่อฟังคำสั่งและมีความชำนาญในการทำไม้ขณะที่แม่ช้างไปทำงานในป่า และเนื่องจากมีนโยบายปิดป่าซึ่งทำให้ช้างต้องว่างงาน ศูนย์ฝึกลูกช้างจึงถูกปรับมาเป็นสถานที่ดูแลช้างแก่และเจ็บป่วย และที่นี่ยังเป็นสถานที่ตั้งของโรงพยาบาลช้างด้วย ออป.จึงได้ก่อตั้งศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยขึ้นเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2535 และจัดกิจกรรมเพื่อการท่องเที่ยว ได้แก่
3 

 
       การแสดงของช้าง ซึ่งยังคงอนุรักษ์ศิลปะการทำไม้ซึ่งใช้ช้างเป็นพาหนะ และแรงงานที่สำคัญ ในการชักลากไม้ที่ได้จัดแสดงให้นักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างประเทศได้ชม เวลาในการแสดง
       วันจันทร์ - ศุกร์ มีการแสดง 2 รอบ ในเวลา 10.00 น . และ 11.00 น .
       วันเสาร์ - อาทิตย์ และวันหยุดต่างๆ จะเพิ่มรอบการแสดงในเวลา 13.30 น .

 
4

 
       นั่งช้างรอบบริเวณซึ่งเป็นสวนป่า ธรรมชาติยังมีสิ่งดีๆ ที่คอยให้กำลังใจกับเราทุกเมื่อ บางครั้งเราอาจจะสับสนวุ่นวาย เครียดหนักกับการทำงานทั้งวัน ทั้งสัปดาห์ลองหลบความวุ้นวายเหล่านั้น ไปท่องเที่ยวกับธรรมชาติ โดยเฉาะกับการขี่ช้างชมธรรมชาติ ท่านจะรู้สึกถึงความแปลกใหม่ในชีวิต เป็นรางวัลจากความเหน็ดเหนื่อยที่จะทำให้ท่านลืมงานที่ออฟฟิคไปอีกหลายวันเชียวแหละ การนั่งช้างให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 8.00 - 15.30 น .

4

 
       การแสดงของลูกช้างทุกวันวันละ 3 รอบคือ 09.30 น., 11.00 น. และ14.00 น.
       ช้างแท็กซี่ หรือบริการนั่งช้างชมธรรมชาติรอบๆ ศูนย์ฯ มีทุกวัน เวลา 08.00-15.30 น
        โฮมสเตย์ (Homestay) ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสบรรยากาศธรรมชาติ เรียนรู้วิถีชีวิตที่ผูกพันระหว่างช้างกับคนเลี้ยงช้างอย่างใกล้ชิด บริการอาหารเครื่องดื่มและร้านขายของที่ระลึก ค่าเข้าชมสำหรับ ชาวไทยและชาวต่างประเทศ ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก 20 บาท นักท่องเที่ยวสามารถเลือกใช้บริการได้หลายเส้นทาง สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
โทร. 054-247871-6

5

       ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยว (Tourism Awards) ประเภทรางวัลดีเด่นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ พ.ศ.2541 ปัจจุบันศูนย์ฯมีโครงการ โรงเรียนฝึกควาญช้าง เพื่อฝึกควาญหรือผู้ที่ประสงค์จะเป็นควาญให้สามารถดูแลช้างได้อย่างถูกต้อง มีชาวต่างชาติให้ความสนใจมาสมัครเป็นนักเรียนหลายคน นอกจากเรื่องท่องเที่ยวแล้วยังมีสิ่งที่น่าสนใจ คือ พลังงานที่ใช้ภายในศูนย์ฯ มาจากพลังงานทดแทนในโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ มีก๊าซชีวภาพจากมูลช้างใช้ในการหุงต้ม และกระแสไฟฟ้าผลิตจากเซลล์แสงอาทิตย

6

       สวนป่าทุ่งเกวียน เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวลำปาง มีป่าสนเมืองหนาวและพันธุ์ไม้นานาชนิด ทั้งไม้ดอก ไม้ใบที่มีสีสันสวยงาม อีกทั้งไม้จำพวกตะบองเพชร และปาล์ม ตลอดจนพืชสมุนไพรต่างๆ นักท่องเที่ยวสามารถแค้มปิ้งที่นี่ได้ ช่วงที่สวยที่สุดเหมาะแก่การพักแรมคือเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่ดอกบัวตองกำลังบาน เนื่องจากจังหวัดลำปางมีพื้นที่เป็นแอ่งกะทะจึงมีอากาศที่ร้อนกว่าแม่ฮ่องสอน ดอกบัวตองที่ลำปางจึงบานเร็วกว่าที่ดอยแม่อูคอประมาณ 15 วัน
ประมาณเดือนตุลาคมมีการจัดกิจกรรมทุ่งเกวียนเมาเท่นไบค์ และเดือนธันวาคมของทุกปี จะมีการจัดงาน “ดอกไม้บานวันพบช้าง”


ที่มาของข้อมูล : http://www.yourhealthyguide.com/travel/tn-thailandelephant.htm